วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

คัมภีร์มหาโชติรัตน์

คัมภีร์มหาโชติรัต
กล่าวถึงโรคโลหิตระดูสตรี ปกติโทษและระดูทุจริตโทษ ซึ่งว่าด้วยปฐมสัตว์ มนุษย์อันเกิดมาเป็นรูปสตรีภาพ ตั้งแต่คลอดจากครรภ์มารดา มีกายแตกต่างจากชาย 4 ประการคือ
1. ถันประโยธร
2. จริตกิริยา
3. ที่ประเวณี
4. ต่อมโลหิตระดู
1. ที่เกิดโลหิตระดูของสตรี 5 ประการ( เรียกว่าโลหิตปกติ)
1.1 โลหิตระดูอันเกิดแก่หัวใจ เมื่อใกล้จะมีระดูมานั้น มีอาการให้คลั่งเพ้อ เจรจาด้วยผี ให้นอนสะดุ้ง หวาดผวา มักขึ้งโกรธไปต่างๆ ครั้นมีระดูออกมาแล้ว อาการนั้นก็หายไป
1.2 โลหิตระดูอันเกิดแต่ขั้วดี เมื่อใกล้จะมีระดูมานั้น ให้มีอาการเป็นไข้ ให้คลั่งไคล้ ละเมอ เพ้อพก เจรจาด้วยผี ให้นอนสะดุ้งหวาดไป ครั้นมีระดูออกมาแล้ว อาการนั้นก็หายไป
1.3 โลหิตระดูอันเกิดแต่ผิวเนื้อ เมื่อใกล้จะมีระดูมานั้น ให้มีอาการนอน ร้อนผิวเนื้อผิวหนัง และแดงดังผลตำลึกสุก บางทีให้ผุดขึ้นทั้งตัวดังยอดหัดและฟกเป็นดังไข้รากสาด เป็นอยู่ 2 วัน 3 วัน ครั้นมีระดูมาแล้ว อาการนั้นก็หายไป
1.4 โลหิตระดูอันบังเกิดแต่เส้นเอ็น เมื่อใกล้จะมีระดูมานั้น ให้เป็นดุจดังไข้จับ ให้สะบัดร้อน สะบัดหนาว ปวด ศีรษะมาก ครั้นพอมีระดูออกมาแล้ว อาการก็หายไป
1.5 โลหิตระดูอันเกิดแต่กระดูก เมื่อใกล้จะมีระดูมานั้น ให้เมื่อยขบไปทุกข์ดังจะขาดออกจากกัน ให้เจ็บเอวสัน หลังมาก มักบิดเกียจคร้านบ่อยๆ ครั้นมีระดูออกมาแล้วก็หายไป
โลหิตปกติโทษทั้ง 5 ประการนี้ อธิบายไว้พอเป็นที่สังเกตุของแพทย์ เพราะโลหิตปกติโทษ จะมีอยู่แต่เท่านั้นหามิได้ ย่อม มีอยุ่ทั่วไปทั้งอาการ 32 ซึ่งชุ่มแช่อยู่ทั่วไปทั้งตัว ด้วยลม 6 จำพวก และลมทั้งหลายพัดให้เดินไปมาระหว่างเส้นเอ็น เนื้อหนัง และ อวัยวะ ทั้งหลายในร่างกาย เป็นธรรมดาของสัตว์โลก เตโชธาตุทั้ง 4 นั้น ทำหน้าที่ให้โลหิตในกายอบอุ่นแล้ว ถ้าเตโชธาตุกล้าหรือร้อนเกินปกติ โลหิตก็ร้อนทนไม่ได้ ก็จะผุดออกมานอกผิวหนัง แพทย์จึงสมมุติว่าเป็นเม็ดกำเดา รากสาดปานดำปานแดง และกาฬทั้งปวง นั่นคือ เหตุของ โลหิตนั่นเอง จึงกล่าวได้ว่า ดี กำเดา ก็คือ เตโช ส่วนโลหิตเป็นเจ้าสมุฎฐาน อันว่าโลหิตนั้นเป็นธรรมชาติของสตรี ผู้ใดเคยมีระดูมานั้น หากลมกองโตเคยกำเริบ ลมกองนั้นจะกำเริบทุกเดือน ทุกครั้ง จึงเรียกว่า ปกติโลหิต หรือ โลหิตประจำเดือน
แต่ถ้าถึงกำหนดระดูมีมา อาการแปลกไปอย่างอื่น และลมกองที่เคยพัดประจำเกิดไม่พัด ลมกองอื่น จึงเข้าพัดแทน อาการจึงแปลกไปจากทุกเดือนอย่างนี้เรียกว่า โลหิตทุจริตโทษ
2. หญิงมีระดูมาแล้วเกิดแห้งไป เพราะเหตุ 5 ประการคือ
2.1 มีกามระคะจัด อำนาจแห่งไฟราคะเผาโลหิตให้แห้งไป
2.2 บริโภคอาหารเผ็ดร้อนเกินไป เป็นเหตุให้ระดูพิการได้
2.3 มีโทสะเป็นนิจ หรือทำงานหนักเกินไป เป็นเหตุให้โลหิตนั้นแห้งไป
2.4 มีโมหะอยู่เป็นนิจ หรือออกกำลังมากเกินไป เป็นเหตุให้โลหิตนั้นแห้งไป
2.5 เป็นด้วยกรรมพันธุ์ติดต่อมาจากบิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ของหญิงนั้น
หญิงจำพวกใด เมื่ออายุได้ 14–15 ปี ขึ้นไป และสิ้นกำหนดตานซาง แล้ว ต่อมโลหิตระดูของหญิงนั้น ก็บังเกิดมาตามประเวณีของสตรีภาพ ให้แพทย์พิจารณาดูว่า โลหิตนั้นเกิดจากที่ใด แล้วให้ปรุงยา ชื่อ ยาพรหมภักดิ์ เป็นยาประจุโลหิตร้ายเสียให้สิ้นแล้วจึงแต่งยาบำรุงไฟธาตุให้กิน เพื่อปรับธาตุทั้ง 4 ให้เสมอกัน แล้วจึงแต่งยาชื่อว่า ยากำลังราชสีห์ ยากำลังแสงพระอาทิตย์ บำรุงโลหิตให้บริบูรณ์แล้ว เมื่อใด สัตว์ที่จะมาปฎิสนธิ ก็จะเกิดขึ้นได้เมื่อนั้น
หญิงใดมีโลหิตพิการ บางจำพวกโลหิตนั้นเป็นก้อนกลมเท่าฟองไข่เป็ดอยู่ในท้องน้อย และหัวเหน่า บางพวดติดอยู่ในทรวงอก บางจำพวกกลมกลิ้งอยู่ในท้องน้อย เจ็บปวดดุจดังเป็นบิด บางทีให้ขึ้นจุกอยู่ยอดอก เจ็บปวดดังจะขาดใจตายทั้งกลางวันและกลางคืน ถ้าถึง 7 วันตาย
3. ว่าด้วยริดสีดวงมหากาฬ 4 จำพวก
3.1 เกิดที่คอ
3.2 เกิดในอก
3.3 เกิดในทวาร
3.4 เกิดในลำไส้
ลักษณะอาการ - ที่ทรวงอกและลำคอ เป็นเม็โขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียว เมื่อสุกแตกออกเป็นบุพโพโลหิตออกมา แล้วเลื่อนเข้าไปหากัน บานดังดอกบุก เป็นบุพโพโลหิตไหล มิรู้ก็ว่าเป็นฝีที่ลำไส้ ลำคอ เกิดขึ้นขนาด เมล็ดข้าว โพดที่ทวารเบา ตั้งขึ้นเป็นกองเป็นหมู่ประมาณ 9–10 เม็ด ขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียว เมื่อสุกแตกออกเป็นบุพโพโลหิตระ
คนกัน เลื่อนเข้าหากัน มีสัณฐานบานดังดอกบุก

4. ลักษณะโลหิตทุจริตโทษ 4 ประการมี
4.1 โลหิตระดูร้าง
4.2 โลหิตคลอดบุตร
4.3 โลหิตพิฆาตอันตกต้นไม้หรือถูกทุบถองโบยตี
4.4 โลหิตเน่า
4.5 โลหิตหมกตกช้ำ
4.1 โลหิตระดูร้าง เมื่อจะบังเกิดโลหิตระดูมิได้มาตามปกติ บางทีให้ดำ และมีกลิ่นเหม็นเน่า บางทีจาง ดุจน้ำชานหมาก บางทีใสดุจน้ำคาวปลา บางทีขาวดุจดังน้ำซาวข้าว กระทำให้เจ็บปวด เป็นไปต่างๆ ครั้นเป็นนาน เข้ามักกลายเป็น มานโลหิต
4.2 โลหิตคลอดบุตร เมื่อจะบังเกิด ทำให้โลหิตคั่งเข้าเดินไม่สะดวก แล้วตั้งขึ้นเป็นลิ่มเป็นก้อน ให้แดกขึ้น
แดกลง บางทีให้คลั่ง ขบฟัน ตาเหลือกตาช้อน ขอบตาเขียว และริมฝีปากเขียว เล็บมือเล็บเท้าเขียว สมมุติว่าปีศาจเข้าสิง

4.3 โลหิตต้องพิฆาต อันตกต้นไม้ และถูกทุบถองโบยตี ถ้าเป็นดังกล่าวท่านว่า ไข้นั้นถึงพิฆาต เพราะโลหิตที่ถูกกระทำนั้น กระทบช้ำระคนกับโลหิตระดู เกิดแห้งกรังเข้าติดกระดูก สันหลังอยู่ จึงได้ชื่อว่า โลหิตแห้งกรัง เพราะอาศัยโลหิตพิการ
4.4 โลหิตเน่า อาศัยโลหิตระดูร้าง โลหิตคลอดบุตร โลหิตต้องพิฆาต และโลหิตตกหมกซ้ำเจือมาเน่าอยู่ จึงเรียกว่า โลหิตเน่า เป็นใหญ่กว่าลมทั้งหลาย เมื่อจะให้โทษ โลหิตเน่ามีพิษอันกล้าแล่นไปทุกขุมขน บางทีแล่นเข้าจับหัวใจ บางทีแล่นออกผิวเนื้อ ผุดเป็นวงดำ แดง เขียว ขาวก็มี บางทีผุดขึ้นดังยอดผด ทำพิษ ให้คันเป็นกำลัง ให้ทุรนทุรายยิ่งนัก
4.5 โลหิตตกหมกซ้ำ ก็อาศัยโลหิตเน่า เหตุเพราะแพทย์ใช้ยาประคบ ยาผาย ยาขับโลหิตไม่ถึงกำลัง หมายถึง
ให้ยา น้อย กว่ากำลังเลือด และโลหิตนั้นเกิดระส่ำระสาย ออกไม่หมดสิ้นเชิง จึงตกหมกช้ำอยู่ ได้ชื่อว่า โลหิตตกหมกช้ำ บางทีตกช้ำอยู่ในเส้นเอ็น หัวเหน่า เมื่อจะให้โทษก็คุมกันเข้า กระทำให้เป็นฝีมดลูก ฝีปอดคว่ำ ฝีเอ็น ฝีอัคนีสันต์ ฝีปลวก และมานโลหิต

5. โลหิตที่เกิดจากกองธาตุ มี 4 อย่าง
5.1 โลหิตเกิดแต่กองเตโชธาตุ ถ้าเกิดแต่สตรีผู้ใด มีสามีแล้วหรือไม่มีก็ดี เมื่อระดูจะมีมา นั้นกระทำ
ให้ตึง ไป ทั่วตัวแล้วระดูจึงมีมา ให้ร้อนทางช่องคลอดดุจถูกพริก โลหิตที่ออกมานั้นเป็นฟอง มีสีเหลือง น้ำฝาง อันบุคคล เอาน้ำส้มมะนาวบีบลง สีนั้นเหลืองไป กระทำให้ร้อนผิวเนื้อมาก ให้อาเจียน ให้เหม็นอาหาร บริโภคอาหารไม่ได้
สะบัดร้อน สะท้านหนาว

5.2 โลหิตอันบังเกิดแต่กองวาโยธาตุ ถ้าเกิดแก่สตรีใด ที่มีสามีแล้ว หรือยังไม่มีสามีก็ดี เมื่อ มีระดูมา
นั้นทำ ให้ท้องขึ้นท้องพอง ให้จุกให้เสียดเป็นกำลัง ให้ตัวร้อน ให้จับเป็นเวลา ให้คลื่นเหียนอาเจียน แต่ลมเปล่า ระดูมีมา ไม่สะดวก มีสีดุจ น้ำดอกคำอันจาง ให้ปวดเป็นกำลัง

5.3 โลหิตอันบังเกิดแต่กองอาโปธาตุ ถ้าเกิดแก่สตรีผู้ใด มีสามีแล้วหรือยังไม่มีก็ดี เมื่อระดูจะมีมา นั้นกระทำ ให้ลงไปวันละ 5-6 ครั้ง ระดูนั้นเดินออกมาเป็นเมือกเป็นมัน เหม็นคาวยิ่งนัก โลหิตนั้นใส บางทีเป็นเปลว ดุจปะระเมหะและไข่ขาว เดิน ไม่สะดวก ให้ปวดท้องมากบริโภคอาหารไม่ได้
5.4 โลหิตอันเกิดแก่กองปถวีธาตุ เกิดแก่สตรีผู้ใด มีสามีแล้วหรือยังไม่มีสามีก็ดี เมื่อระดูจะมีมานั้น ให้เมื่อยทุก ข้อทุกลำ ทุกกระดูก ระดูเดินหยดย้อยมิได้สะดวก บางทีให้เป็นมันเป็นเมือกบางที เป็นปะระเมหะระคน ออกมากับโลหิต เหนียวดุจยางมะตูม ทำให้ร้อนให้แสบ จุกเสียด ให้ท้องขึ้นเป็นกำลัง ระดูนั้นมีสีดำ แดง ขาว เหลือง
ระคนกันออกมา มีกลิ่นคาวยิ่งนัก ให้ปวดในอุทรเป็นกำลัง

6. ว่าด้วยยาสำหรับสตรี
ยาบำรุงไฟธาตุ
ดอกดีปลี รากช้าพลู เถาสะค้าน รากเจตมูลเพลิง เหง้าขิงแห้ง ผลผักชี ว่านน้ำ หัวแห้วหมู พิลังกาสา บอระเพ็ด ผิวมะกรูด ยาทั้งนี้ หนักสิ่งละ 1 ส่วน เสมอภาถ บดเป็นผง ละลายน้ำส้มซ่า รับประทานครั้งบะ 1 ช้อนกาแฟ 3 เวลา ก่อนอาหาร

สรรพคุณ กินบำรุงไฟธาตุให้บริบูรณ์
ยาบำรุงโลหิตเบญจกูล หนักสิ่งละ 1 บาท โกฎทั้ง 5 เทียนทั้ง 5 สิ่งละ 6 สลึง ผลจันทร์ ดอกจันทร์ กระวาน กานพลู หนักสิ่งละ 1 สลึง เลือดแรด ดอกคำไทย สิ่งละ 3 บาท ฝางเสน 2 บาท เกสรบัวหลวง ดอกพิกุล ดอกบุนนาค ดอกสารภค ดอกมะลิ ดอกจำปา ดอกกระดังงา กฤษณา กระลำพัก ขอนดอก ชะลูด อบเชยเทศ จันทน์ทั้ง 2 ขมิ้นเครือ เอาส่วนเท่ากัน
สรรพคุณ ต้มรับประทานให้โลหิตงาม

1 ความคิดเห็น: