วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

พระคัมภีร์โรคนิทาน

คัมภีร์โรคนิทาน
     ในคัมภีร์พระบรมอรรถธรรม ว่าด้วยคนจะถึงความมรณะสิ้นอายุ เทวทูตในธาตุทั้ง ๔ ก็สำแดงออกมาให้ปรากฏโดยมโนทวารอินทรีย์ ธาตุ อันใดจะขาด จะหย่อน จะพิการ อันตรธานประการใดก็ดี มีแจ้งอยู่ในคัมภีร์มรณะญาณสูตรแล้ว 
     ความมรณะ แบ่งออกเป้น ๒ อย่างคือ

๑   มรณะด้วยโบราณโรค
๒.  มรณะด้วยปัจจุบันโรค

     ๑.   มรณะด้วยโบราณโรค คือ ตายโดยปกติ ตายโดยลำดับขันธ์ชวนะเร็ว ธาตุทั้ง ๔ ล่วงไปตามลำดับ โดยกำหนดสิ้นอายุปริโยสานเป็น ปกติ   ธาตุทั้ง ๔ อันตรธานสูญหายเป็นลำดับกันไปคือ ธาตุดิน ๒๐ ธาตุน้ำ ๑๒ ธาตุลม ๖ ธาตุไฟ ๔   เมื่อจะอันตรธานนั้นหาสูญพร้อมกันที เดียวทั้ง ๔ ธาตุไม่   ย่อมสูญไป ขาดไป แต่ละ ๒ สิ่ง ๓ สิ่ง ๔ สิ่งก็มี บางทีธาตุดินขาดก่อนธาตุน้ำ ธาตุลมขาดก่อนธาตุไฟ และเมื่อจะสิ้นอายุ ดับสูญนั้น
     ปถวีธาตุ      ๒๐      ขาดไป   ๑๙    หทยัง  ยังอยู่
     อาโปธาตุ     ๑๒      ขาดไป    ๑๑    น้ำลาย  ยังอยู่
     วาโยธาตุ       ๖       ขาดไป     ๕     ลมหายใจเข้าออกยังอยู่
     เตโชธาตุ       ๔       ขาดไป     ๓     ไฟอุ่นกายยังอยุ่

     ถ้าธาตุทั้งหลายสูญสิ้นไปดังกล่าวมานี้ อาการตัดทีเดียว รักษาไม่ได้ หากธาตุทั้ง ๔ หย่อนไป แต่ละสิ่ง สองสิ่ง ก็ยังรักษาได้
     ๒.   มรณะด้วยปัจจุบันโรค คือโอปักกะมิกาพาธ ถูกทุบถองโบยตีบอบช้ำ และต้องราชอาญา ของพระมหากษัตริย์ ให้ประหารด้วยหอก ดาบ ปืน ไฟ ก็ตายอุจเดียวกัน 

ธาตุทั้ง ๔ พิการตามฤดู
๑. เตโชธาตุพิการ เตโชธาตุชื่อสันตัปปัคคีพิการ ( เดือน ๕, ๖, และ ๗) อาการให้เย็นในอก กินอาหารพลันอิ่ม มักให้จุกเสียด ขัดอก อาหาร พลันแหลก มักอยากบ่อย จึงให้เกิดลม ๖ จำพวก คือ
     ๑.๑   ลมอุตะรันตะ        พัดแต่สะดือถึงลำคอ
     ๑๒   ลมปิตตะรันตะ       ให้ขัดแต่อกถึงลำคอ
     ๑.๓  ลมอัสวาตะ           ให้ขัดจมูก
     ๑.๔  ลมปรามาศ           ให้หายใจขัดอก
     ๑.๕  ลมอนุวาตะ           ให้หายใจขาดไป
     ๑.๖  ลมมหาสดมภ์         ลมจับนิ่งไป

๒.   วาโยธาตุพิการ ( เดือน ๘, ๙, และ ๑๐ ) อาการให้ผอมเหลือง ครั้นตัว เมื่อยทุกข้อ ทุกลำ ให้แดกขึ้นแดกลง ลั่นโครก มักให้หาวเรอ วิงเวียนหน้าตา ร้อนในอก รันทด รันทวยกาย หายใจสั่น ให้เหม็นปาก หวานปากตัวเอง โลหิตออกจากปาก จมูก หู กินอาหารไม่รู้รส
๓.   อาโปธาตุพิการ  ( เดือน ๑๑, ๑๒, และ ๑ )   กินผักอละอาหารทั้งปวงผิดสำแดง
      ๓.๑   ดีพิการ     มักขึ้งโกรธ มักสะดุ้งใจ
      ๓.๒   เสมหะพิการ  กินอาหารไม่รู้รส
      ๓.๓   หนองพิการ  มักให้เป็นหืด ไอ
      ๓.๔   โลหิตพิการ  มักให้คลั่ง เพ้อพก ให้ร้อน
      ๓.๕   เหงื่อพิการ  มักให้เซื่อมซึม
      ๓.๖    มันข้นพิการ  มักให้ตัวชาสากไป
      ๓.๗   น้ำตาพิการ  มักให้ปวดศีรษะ เจ็บตา
      ๓.๘   มันเหลวพิการ  มัให้บวมมือ บวมเท้า เป็นน้ำเหลืองตก มักให้ผอมแห้ง
      ๓.๙   น้ำลายพิการ  มักให้เป็นไข้ มักให้คอแห้ง และฟันแห้ง
      ๓.๑๐ น้ำมูกพิการ  มักให้ปวดศีรษะ
      ๓.๑๑ ไขข้อพิการ  มักให้เมื่อยทุกข้อทุกกระดูก
      ๓.๑๒ มูตรพิการ  ให้ปัสสาวะแดง ขัดปัสสาวะ ปัสสาวะเป็นโลหิต ปวดเจ็บเนืองๆ

๔.   ปถวีธาตุพิการ ( เดือน ๒, ๓, และ ๔) เป็นด้วยนอนผิดเวลา
      ๔.๑   ผมพิการ  ให้คันศีรษะ มักเป็นรังแค ให้เจ็บหนังศีรษะเนืองๆ
      ๔.๒   ขนพิการ  มักให้เจ็บทั่วสรรพางค์กาย ทุกขุมขน ให้ขนลุกพอง ทั้งตัว
      ๔.๓   เล็บพิการ  มักให้เจ็บต้นเล็บ ให้ต้นเล็บเขียว ต้นเล็บดำ ช้ำโลหิต ให้เจ็บๆ เสียวๆ นิ้วมือ นิ้วเท้า
      ๔.๔   ฟันพิการ  มักให้เจ็บไรฟัน บางทีให้เป็นฝี รำมะนาด  บางทีให้เป็นโลหิตไหลออกทางไรฟัน ให้ฟันคลอน ฟันโยก ฟันถอนออก
      ๔.๕   หนังพิการ  ให้ร้อนผิวหนัง ทั่วสรรพางค์กาย บางทีให้เป็นผื่นดุจเป์นผด ให้แสบร้อนอยู่เนืองๆ
      ๔.๖    เนื้อพิการ  มักให้นอนสะดุ้ง ไม่หลับสนิท มักให้ฟกบวม บางทีให้เป็นวง ผุดขึ้นเป็น หัวดำ หัวแดง หัวเขียวทั้งตัว บางทีเป็น               ดุจลมพิษ สมมุตว่าเป็นประดง เหือด หัด ต่างๆ
      ๔.๗   เอ็นพิการ  มักให้เจ็บสะบัดร้อน สะท้านหนาว ให้ปวดศีรษะ ท่านเรียกว่า ลม อัมพฤกษ์กำเริบ
      ๔.๘   กระดูกพิการ  ทำให้เมื่อยขบ ทุกข้อ ทุกกระดูก
      ๔.๙   สมองกระดูกพิการ  ทำให้ปวดศีรษะนืองๆ
      ๔.๑๐ ม้ามพิการ  มักให้ม้ามหย่อน
      ๔.๑๑ หฤทัยพิการ  ทำให้คลุ้มคลั่งดุจเป็นบ้า ถ้ามิฉะนั้น ให้หิวโหย หาแรงมิได้ ให้ทุรนทุราย ยิ่งนัก
      ๔.๑๒ ตับพิการ  ให้ตับโต ตับทรุด เป็นฝีในตับ และตับพิการต่างๆ
      ๔.๑๓ พังผืดพิการ  ให้เจ็บ ให้อาเจียน จุกเสียด กลับเข้าเป้นเพื่อลม
      ๔.๑๔ ไตพิการ  มักให้ปวดท้อง แดกขึ้นแดกลง ปวดขบอยู่เนืองๆ
      ๔.๑๕ ปอดพิการ  มักให้ปวกศีรษะเป็นพิษ กระหายน้ำอยุ่เนืองๆ
      ๔.๑๖ ไส้ใหญ่พิการ  มักให้สะอึก ให้หาว ให้เรอ
      ๔.๑๗ ไส้น้อยพิการ  มักให้ผะอืด ผะอม ท้องขึ้นท้องพอง มักเป้นท้องมาร กระษัย บางทีให้ลงท้อง ตกมูกเลือด เป็นไปต่างๆ
      ๔.๑๘ อาหารใหม่พิการ  มักให้ลงท้อง ลงแดง มักให้อาเจียน และมักให้เป็นป่วง ๗ จำพวก
      ๔.๑๙ อาหารเก่าพิการ  มักให้กินอาหารไม่รู้รส เป้นต้น ที่จะให้เกิดโรคต่างๆ เพราะอาหารแปลกสำแดง
      ๔.๒๐ มันสมองพิการ  ให้ปวดศีรษะ ให้ตาแดง ให้คลั่ง เรียกสันนิบาตต่อกันกับลม 


ลักษณะเตโชธาตุแตก 
๑.     เตโชธาตุชื่อ ปริณามัคคีแตก  ให้ขัดในอกในใจ ให้บวมเมือ บวมเท้า ให้ไอ เป็นมองคร่อ
๒.     เตโชธาตุชื่อ ปริทัยหัคคีแตก  มักให้มือเท้าเย็น ชีพจรไม่เดิน บางทีให้ตัวเย็นดุจน้ำ แต่ภายในร้อน ให้รดน้ำอยุ่มิได้ขาด บางทีให้ตัวเย็น และ ให้เสโทตกดุจเมล็ดข้าวโพด
๓     เตโชธาตุ ชื่อชีรณัคคีแตก คือความชรานำพญามัจจุราช มาเล้าโลมสัตว์ทั้งปวง จะให้ชีวิตออจากร่างกาย นั้น ก็ให้คนไข้มีกายวิปริตต่างๆ คือ ให้หน้าผากตึง ตาไม่รู้จักหน้าคน แล้วกลับรู้จักอีก กายนั้นสัมผัสสิ่งใด ก็ไม่รู้สึกตัว แล้วกลับรู้สึกอีก
๔.    เตโชธาตุชื่อ สันตัปปัคคีแตก เมื่อใด แก้ไม่ได้ ตายแล
 

    ลักษณะวาโยธาตุแตก
๑     ลมอุทธังคมาวาตาแตก   มักให้ดิ้นรน มือเท้าขวักไขว่ ให้พลิกตัวไปมา ทุรนทุราย ให้เรอบ่อยๆ
๒.    ลมอโธมาวาตาแตก  ให้ยกมือยกเท้าไม่ได้ ให้เมื่อยขบทุกข้อทุกกระดูก ให้เจ็บปวดยิ่งนัก
๓.    ลมกุจฉิสยาวาตาแตก มักให้ท้องขึ้นท้องลั่น ให้เจ็บในอก ให้สวิงสวาย ให้แดกขึ้นแดกลง
๔.    ลมโกฏฐาสยาวาตาแตก ให้เหม็นคาวคอ ให้อาเจียน ให้จุกเสียด ให้แดในอก
๕.    ลมอังคมังคานุสารีวาตาแตก ให้หูตึง  เจรจาไม่ได้ยิน แล้วเป็นกุจหิ่งห้อยออจากตา ให้เมื่อยต้นขาทั้งสอง ข้าง ดุจกระดูกจะแตก ให้ปวดในกระดูก        สันหลัง ให้สะบัดร้อนสะบัดหนาว อาเจียนลมเปล่า กินอาหารไม่ได้
๖.     ลมอัสสาสะปัสสาวะ วาตาแตก จะได้ขาดสูญหามิได้ ถ้าสิ้นลมหายใจแล้วเมื่อใด ก็ตายเมื่อนั้น

ลักษณะธาตุน้ำแตก
๑.     ดีแตก ทำให้คนไข้คลั่งไคล้ไหลหลง ละเมอเพ้อพก นอนสะดุ้งหวาดหวั่น บางทีให้ลงดุจกินยรุ ให้ลงเขียว ลงแดง ลงเหลืองออกมา ทำให้หาสติมิได้
๒.     เสมหะแตก ให้จับสะบัดร้อนสะบัดหนาว เป็นเวลา บางทีให้ลงท้องเป็นเสมหะ เป็นโลหิตเน่า ให้ปวดมวน
๓.     หนองแตก ทำให้ไหลออกมาเนืองๆ ให้กายซูบผอม กินอาหารไม่รู้รส มักเป็นฝีภายใน ๗ ประการ
๔.     โลหิตพิการหรือแตก แพทย์สมมุติว่าไข้กำเดา เพราะโลหิตกำเริบ ถ้าแตกก็เป็นพิษต่างๆ ผุดขึ้น มาภาย นอก แพทย์สมมุติว่าเป็นรากสาด ข้าวไหม้         ใหญ่ ข้าวไหม้น้อย เปลวไฟฟ้า ประกายเพลิง ลำลาบเพลิง ที่เรียกชื่อต่างๆ เพราะโลหิตกระจายแตกซ๋านออกผิวเนื้อ  ส่วนข้างในก็กระทำพิษต่างๆ         บางทีให้อาเจียนเป็นโลหิต บางทีโลหิตแล่นเข้าจับหัวใจ ให้คลั่งเพ้อหาสติมิได้ บ้างก็ว่าสันนิบาตโลหิต เป็นเพื่อโลหิตสมุฎฐาน บางทีให้ชัก         เท้าหงิกมือกำ บางทีให้หนาว ให้ร้อน บางทีให้ขัดปัสสาวะ ให้น้ำ ปัสสาวะ เป็นสีดำ แดง ขาว เหลือง เป็นไปต่างๆ ธาตุถ้าแตกตั้งแต่ ๒-๕ อย่าง         จะแก้ไม่ได้ โดยเร็วพลัน ใน ๒-๓ วัน ถ้าเป้นตั้งแต่ ๑ หรือ ๒ ให้แก้ดูก่อน ที่โลหิตแตกซ่านออกมาถึงผิวเนื้อนั้น ท่านให้ประกอบยา ที่แก้ไข้เหนือ แก้ที่โลหิตทำภายใน ให้โลหิตมาก ท่านให้ประกอบยา ที่แก้ลักปิด มาแก้เถิด
๕.     เหงื่อ ถ้าแตกให้เหงื่อตกหนัก ให้ตัวเย็นขาวซีด ให้สวิงสวาย หากำลังมิได้
๖.     น้ำตา ถ้าแตกหรือพิการ  ให้ตามัว ให้น้ำตาตกหนัก ตาแห้ง ตานั้นเป็นดุจเยื่อผลลำใย
๗.    มันเหลว ถ้าแตก กระจายออกทั่วสรรพางค์กาย ทำให้ตัวเหลือง ตาเหลือง เว้นแต่อุจจาระ ปัสสาวะไม่เหลือง บางทีให้ลงท้อง ให้อาเจียน ดุจเป็นป่วงลง เพราะโทษน้ำเหลือง
๘.    น้ำลาย ถ้าแตก หรือพิการ น้ำลายเหนียว บางทีเป้นเม็ดยอดขึ้นในลิ้นในคอ
๙.     น้ำมูก เมื่อพิการหรือแตก ให้ปวดในสมอง ให้น้ำมูกตก ให้ตามัว ให้ปวดศีรษะ
๑๐.   มันข้น เมื่อพิการหรือแตก ดุจโลหิตเสียก็เหมือนกัน ซึมซาบออกมาทางผิวหนังดุจผดผุดออกมาเป็นดวง บาง ทีแตกเป็นน้ำเหลือง ให้ปวดแสบปวดร้อนยิ่งนัก

๑๑.    ไขข้อ เมื่อพิการหรือแตกก็ดี ไขข้อนี้มีอยู่ในกระดูก จะทำให้เมื่อยในข้อในกระดูก ทุกแห่ง ดุจครากจากกัน ให้ขัดให้ตึงทุกข้อ
๑๒.    มูตร เมื่อพิการหรือแตกนั้น ให้ปัสสาวะวิปลาส คือแดง เหลือง และเป็นนิ่วก็ดี บางทีเป็นดุจน้ำข้าวเช็ด ให้ ขัดเบา ให้เจ็บหัวเหน่า ให้หัวเหน่าฟก เป็นนิ่ว เป้นมุตกิต เป้นสัณฑฆาต กาฬขึ้นในมูตร ให้มูตรพิการ แปรไปต่างๆ

 
                                                     ธาตุดินพิการ

๑.     ผมพิการ   เจ็บในสมอง ผมร่วง
๒.     ขนพิการ  เจ็บทุกขุมขน ทั่วสรรพางค์กาย
๓     เล็บพิการ  ให้ต้นเล็บช้ำ เขียวดำ บางทีให้ฟกบวม เป็นหัวเดือนหัวดาว บางทีให้ขบเล็บช้ำ เป็นหนอง เจ็บปวด ยิ่งนัก
๔     หันพิการ  หักถอนแล้วก็ดี ย่อมเป้นประเพณีสืบกันมา ถ้าเจ็บในไรฟัน ในรากฟัน ในเหงือก ก็ให้แก้ในทางรำมะนาด
๕. หนังพิการ    ให้หนังสากชา ถ้ามด หรือแมลงวันไต่หรือจับ ก็ไม่รู้สึกกาย ให้แสบร้อนยิ่งนัก เรียกว่า กัมมิโทษ คือโทษที่เกิดแก่กรรม  
๖.     เนื้อพิการ  เนื้อ ๕๐๐ ชิ้น ถ้าพิการ ให้เสียวไปทั้งตัว ม้กให้ฟกที่นั้น บวมที่นี่            ให้เป็นพิษ บางทีให้ร้อนดุจไฟ บางทีให้ฟกขึ้นดุจประกายดาษ ประกายเพลิง ๗.     เอ็นพิการ  เส้นประธาน ๑๐ เส้น มีบริวาร ๒,๗๐๐ เส้น ก็หวาดไหวไปสิ้นทั้งนั้น ที่กล้าก็กล้า ที่แข็งก็แข็ง ที่ตั้งดานก็ตั้งดาน ที่ขอดก็ขอดเข้าเป็นก้อนเป็นเถาไป เป็นเหตุแต่จะให้โทษหนัก แต่เส้นอันชื่อว่าสุมนากับเส้น อัมพฤกษ์ นั้น ทำเหตุแต่จะให้ระส่ำระสาย ให้ร้อน ให้เย็น ให้เมื่อย ให้เสียวไปทุกเส้นเอ็นทั่วทั้งตัว ตั้งแต่ที่สุดบาทา ตลอดขึ้นไปถึงศีรษะ ทำให้เจ็บ เป็นเวลา แต่เส้นอัมพฤกษ์ สิ่งเดียวนั้น ให้โทษถึง ๑๑ ประการ ถ้าพร้อมทั้ง ๒,๗๐๐ เส้น แล้วก็ตาย ถ้าเป็น ๒-๓ เส้น ยังแก้ได
๘.     กระดูกพิการ กระดูกทั้งหลายประมาณไว้ ๓๐๐ ท่อน ถ้าพิการโรคนี้จะแก้เป็นอันยากยิ่งนัก
๙.    เยื่อในกระดูกพิการ ( คัมภีร์ไม่บอกอาการ บอกแต่ยาแก้ เหมือนแก้กระดูก)
๑๐.   ม้ามพิการแตก   ให้ม้ามหย่อน
๑๑    วงหฤทัยพิการ   ถ้าพิการหรือแตกก็ดี กระทำให้เป็นคนเสียจริต ถ้ายังอ่อนอยู่ ให้คุ้มดีคุ้มร้าย มักขึ้งโกรธ บางทีให้ระส่ำระสาย ให้หิวหากำลังมิได้
๑๒    ตับพิการ  ถ้าพิการแตกก็ดี เป็นเพราะโทษ ๔ ประการ คือ
        ๑๒.๑   กาฬผุดขึ้นในตับ จึงทำให้ตับหย่อน
        ๑๒.๒   เป็นฝีในตับ ย่อมให้ลงเป็นโลหิตสดๆ ออกมา
        ๑๒.๓  กาฬมูตรผุดขึ้นในตับ กระทำให้ลงเป็นเสมหะโลหิตเน่า ปวดมวนอยู่เสมอ ให้ตาแดง เป็นสาย โลหิต คนทั้งปวงย่อมสมมุติเรียกว่ากระสือ ปีศาจเข้าปลอมกิน เพราะคนไข้ เพ้อหาสติมิได้ เจรจาด้วยผี หมอจะแก้ ยากนัก
        ๑๒.๔  เป็นด้วยปถวีธาตุแตกเอง ให้ระส่ำระสาย ให้หอบไอ อยู่เป็นนิจ จะบริโภคอาหารก็ไม่ได้ หายใจก็ ไม่ถึงท้องน้อย
๑๓.   พังผืดพิการแตก  ให้อกแห้ง กระหายน้ำ คือริดสีดวงแห้งนั่นเอง
๑๔.   พุงพิการแตก  ให้ขัดอก ให้ลงท้อง ท้องขึ้นท้องพอง ให้แน่นในอก ในท้อง บริโภคอาหารไม่ได้
๑๕.   ปอดพิการแตก  เมื่อปอดพิการแตกก็ดี อากาจดุจไข้พิษ คือ กาฬขึ้นในปอด ให้ร้อนอก กระหายน้ำ แล้วหอบ จนโครงลด ให้กินน้ำจนปอดลอยจึงยากยาก บางที่จนอาเจียนน้ำออกมา จึงจะหายอยาก
๑๖.   ไส้ใหญ่พิการแตก  คือกินอาหารผิดสำแดง ให้ปวดท้อง ให้ขัดอก บางทีให้ลง ให้อาเจียน คือ ลมกัมมัชวาต พัดให้เสมหะเป็นดาน กลับเข้าไป ในท้องในทรวงอก แล้วให้ตัดอาหารย่อมว่าไส้ตีบ
๑๗   ไส้น้อยพิการแตก  ให้วิงเวียนหน้าตา จะลุกขึ้นยืนให้หาว ให้เรอ ให้จุกเสียด เจ็บเอว ให้เสมหะขึ้นคอ ให้ร้อนคอ ร้อนท้องน้อย เป้นลม คลื่นเหียน ให้ตกโลหิต ให้ตกหนอง
๑๘.   อาหารใหม่พิการแตก  ถ้าบริโภคอาหารเข้าไปอิ่มแล้วเมื่อใด ก็ทำให้ร้อนท้องนัก บางทีให้สะอึก แล้วให้จุกเสียดตามชายโครง ให้ผะอืดผะอม คนสมมุติว่าไฟธาตุหย่อน แต่ไม่ใช่อาการอย่างนี้ เป็นเพราะบริโภค อาหารที่ไม่เคยบริโภค เช่นอาหารดิบ หรือลมกุจฉิสยาวาตพัดไม่ตลอด ให้เป็นไปต่างๆ บางทีให้ลง บางทีให้เป็น พรรดึก แดกขึ้นแดกลง กินอาหารไม่ได้
๑๙.   อาหารเก่าพิการแตก  อาหารเก่าเมื่อพิการแตก คือซางขโมยกินลำไส้ เมื่อพ้นกำหนดซางแล้ว คือริดสีดวง คุถทวาร
๒๐.   สมองศีรษะพิการแตก  เมื่อสมองพิการหรือแตก ให้เจ็บในศีรษะดังจะแตก ให้ตามืด ให้หูตึง ปากและจมูก เฟดขึ้น ลิ้นกระด้าง เดิมเป้นเพราะสันนิบาตลมปะกัง ถ้ายาใดๆ ก็แก้ไม่หาย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น