วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

คัมภีร์สมุฎฐานวินิจฉัย



กล่าวถึงการค้นสาเหตุแห่งไข้ หรือการพยากรณ์โรคและไข้ต่างๆ โดยกล่าวถึงกองพิกัดสมุฎฐาน ๔ ประการคือ
ธาตุสมุฎฐาน
ฤดูสมุฎฐาน
อายุสมุฎฐาน
กาลสมุฎฐาน

สมุฎฐานทั้ง ๔ ประการนี้ แพทย์ทั้งหลายพึงเรียนรู้ไว้ให้แจ้ง เพราะเป็นที่ตั้งแห่งภุมิโรค และภูมิแพทย์ทั้งปวง
กองพิกัดสมุฎฐาน ๔ ประการมีดังนี้
ธาตุสมุฎฐาน แบ่งได้ ๔ กอง คือ
๑.๑ สมุฎฐานเตโชธาตุพิกัด - เป็นที่ตั้งแห่ง ธาตุไฟ ๔ จะวิปริตเป็นชาติจลนะภินนะ ก็ อาศัย พัทธปิตตะ(ดีในฝัก) อพัทธ ปิตตะ ( ดีนอกฝัก) กำเดา ( เปลวแห่งความร้อน)

๑.๒ สมุฎฐานวาโยธาตุพิกัด - เป็นที่ตั้งแห่ง ฉกาลวาโย( ธาตุลม ๖) ซึ่งจะวิปริตเป็น ชาติจลนะ ภินนะ ก็อาศัย หทัยวาตะ ( ลมที่หัวใจ) สัตถกะวาตะ ( ลมมีพิษ) สุมนาวาตะ ( ลมในเส้น)
๑.๓ สมุฎฐานอาโปธาตุพิกัด - เป็นที่ตั้งแห่ง ทวาทศอาโป ( ธาตุน้ำ ๑๒) ซึ่งจะวิปริตเป็นชาติจลนะ ภินนะ ก็อาศัย ศอ เสมหะ( เสมหะในลำคอ) อุระเสมหะ ( เสมหะในทรวงอก) คูถเสมหะ ( เสมหะที่ทวารหนัก)
๑.๔ สมุฎฐานปถวีธาตุพิกัด - เป็นที่ตั้งแห่ง วีสติปถวี ( ธาตุดิน ๒๐) ซึ่งจะวิปริตเป็นชาติจลนะ ภินนะ ก็อาศัย หทัยวัตถุ (ก้อนเนื้อหัวใจ) อุทริยะ( อาหารใหม่) กรีสะ(อาหารเก่า)

๒. ฤดูสมุฎฐาน มี ๒ ฤดู คือ ฤดู ๓ กับ ฤดู ๖
๒.๑ ฤดู ๓ ปีหนึ่งแบ่งออกเป็น ๓ ฤดูๆละ ๔ เดือน คือ –
๒.๑.๑ คิมหันตฤดู ( ฤดูร้อน) นับแต่แรม ๑ ค่ำเดือน ๔ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๘ พิกัดปิตตะสมุฎฐานเป็นเหตุ
๒.๑.๒ วสันตฤดู ( ฤดูฝน) นับแต่แรม ๑ ค่ำเดือน ๘ ถึง ขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒ พิกัดวาตะสมุฎฐานเป็นเหตุ
๒.๑.๓ เหมันตฤดู ( ฤดูหนาว) นับแต่แรม ๑ ค่ำเดือน ๑๒ ถึง ขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๔ พิกัดเสมหะสมุฎฐานเป็นเหตุ

๒.๒ ฤดู ๖ ปีหนึ่งแบ่งออกเป็น ๖ ฤดูๆละ ๒ เดือน คือ
๒.๒.๑ คิมหันตฤดู นับแต่แรม ๑ ค่ำเดือน ๔ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๖ เป็นพิกัดปิตตะสมุฎฐาน
เสมหะสมุฎฐานระคนให้เป็นเหตุ
๒.๒.๒ วสันตฤดู นับแต่แรม ๑ ค่ำเดือน ๖ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๘ เป็นพิกัดปิตตะสมุฎฐาน
วาตะสมุฎฐาน ระคนให้เป็นเหตุ
๒.๒.๓ วัสสานฤดู นับแต่แรม ๑ ค่ำเดือน ๘ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๐ เป็นพิกัดวาตะสมุฎฐาน
ปิตตะสมุฎฐานระคนให้เป็นเหตุ
๒.๒.๔ สะระทะฤดู นับแต่แรม ๑ ค่ำเดือน ๑๐ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒ เป็นพิกัดวาตะสมุฎฐาน เสมหะสมุฎฐานระคนให้เป็นเหตุ
๒.๒.๕ เหมันตฤดู นับแต่แรม ๑ ค่ำเดือน ๑๒ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๒ เป็นพิกัดเสมหะสมุฎฐาน วาตะสมุฎฐานระคนให้เป็นเหตุ
๒.๒.๖ ศิริรฤดู นับแต่แรม ๑ ค่ำเดือน ๒ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๔ เป็นพิกัดเสมหะสมุฎฐาน
ปิตตะสมุฎฐาร ระคนให้เป็นเหตุ


๓. อายุสมุฎฐาน แบ่งออกได้ ๓ วัย ดังนี้-

๓.๑ ปฐมวัย ( พาลทารก ) ปฐมวัย(พาลทารก) คลอด-๑๖ ปี เสมหะเป็นเจ้าเรือน บังเกิดโรคมีกำลัง๑๒
องศาเป็น โรคให้ตั้ง เสมหะเป็นต้น วาตะเป็นที่สุด

๓.๒ มัชฌิมวัย ( พาลปานกลาง ) มัชฌิมวัย(พาลปานกลาง) ๑๖ปี-๓๐ ปี ปิตตะเป็นเจ้าเรือน
ถ้าบังเกิดโรคมีกำลัง ๗ องศา ถ้าเป็นไข้ ให้ตั้งปิตตะเป็นต้น เสมหะเป็นที่สุด

๓.๓ ปัจฉิมวัย ( พาลผู้เฒ่า ) ปัจฉิมวัย(พาลผู้เฒ่า) อายุ๓๐ ปี-จนถึงอายุขัย วาตะเป็นที่ตั้ง
ถ้าบังเกิดโรคมีกำลัง ๑๐ องศา ถ้าเป็นไข้ วาตะเป็นต้น ปิตตะเป็นที่สุด


๔. กาลสมุฎฐาน แบ่งออกได้เป็น ๒ กาล ( เฉพาะกาล ๓) มี

๔.๑ กาลกลางวัน ตั้งแต่ ย่ำรุ่ง - ๔โมงเช้า (๐๖.๐๐-๑๐.๐๐) พิกัดเสมหะกระทำ
๕ โมงเช้า - บ่าย ๒ โมง(๑๑.๐๐-๑๔.๐๐) พิกัดปิตะกระทำ
บ่าย๓โมง - ย่ำค่ำ (๑๕.๐๐-๑๘.๐๐) พิกัดวาตะกระทำ
๔.๒ กาลกลางคืน ย่ำค่ำ - ๔ ทุ่ม (๑๘.๐๐-๒๒.๐๐) พิกัดเสมหะกระทำ
๕ ทุ่ม - ๘ ทุ่ม (๒๓.๐๐-๐๒.๐๐) พิกัดปิตตะกระทำ
๙ทุ่ม - ย่ำรุ่ง (๐๓.๐๐-๐๖.๐๐) พิกัดวาตะกระทำ


ธาตุ ทั้ง ๔ พิการ
๑. เตโชธาตุ ๔ พิการ
๑.๑ ปริณามัคคีพิการ ( ไฟย่อยอาหาร) อาการให้ร้อนในอกในใจ ให้ไอเป็นมองคร่อ ให้ท้องขึ้นท้องพอง ผะอืดผะอม

๑.๒ ปรทัยหัคคีพิการ(ไฟร้อนระส่ำระสาย) อาการให้มือและเท้าเย็น ชีพจรเดินไม่สะดวก อีกประการหนึ่งให้ชีพจรขาดหลัก ๑ ก็ดี ๒ หลักก็ ดี บางทีให้เย็นเป็นน้ำ แต่ร้อนภายใน ให้รดน้ำมิได้ขาด บางทีให้เย็น แต่เหงื่อ ตกเป็นดังเมล็ด ข้าวโพด

๑.๓ ชีรณัคคีพิการ (ไฟทำให้แก่ชรา) ให้หน้าผากตึง นัยน์ตาดูไม่รุ้จักอะไร มองไม่เห็นแล้วกลับเห็น หูตึง แล้วกลับได้ยิน จมูกไม่รู้ กลิ่นแล้วกลับรู้ ลิ้นไม่รู้รสอาหารแล้วกลับรู้ กายไม่รู้สึกสัมผัสแล้วกลับรู้ อาการเปลี่ยนไปเปลี่ยน มา ด้วยว่าพญามัจจุราชมาประเล้าประโลมสัตว์ทั้งหลาย
๑.๔ สันตัปปัคคีพิการ ( ไฟอุ่นกาย ) ถ้าแตกเมื่อใด จะเยียวยามิได้เลย ตายเป็นเที่ยงแท้

ยาแก้เตโชธาตุพิการ

- ชื่อยากาลาธิจร ( โกฐปลา สอ/ ขิง สะค้าน ดี / แห้วหมู โมกมัน/ ชี เอ็น พัน เชย/)
โกฐพุงปลา โกฐสอ / ขิง สะค้าน ดีปลี / หัวแห้วหมู เปลือกโมกมัน / ผลผักชี ผลเอ็น อำพัน อบเชย
ยาทั้งนี้ เอาส่วนเท่ากัน บดเป็นผงละลายน้ำร้อนหรือน้ำผึ้งก็ได้ กินแก้เตโชธาตุพิการ
๒. วาโยธาตุ ๖ พิการ
๒.๑ อุทธังคมาวาตาพิการ (พัดจากปลายเท้าขึ้นศีรษะ) เมื่อพิการหรือแตก ทำให้มีอาการดิ้นรน มือเท้าขวักไขว่ ให้พลิกตัวไปมา ให้ทุรนทุราย ให้ หาวเรอบ่อยๆ
๒.๒ อโธคมาวาตาพิการ (พัดลงจากศีรษะถึงเท้า) เมื่อพิการหรือแตก อาการให้เมื่อยขบขัดทุกข้อทุกกระดูก ให้ยกมือยกเท้าไม่ไหว เจ็บปวด เป็นกำลัง
๒.๓ กุจฉิสยาวาตาพิการ (พัดในท้องนอกลำไส้) เมื่อพิการหรือแตก อาการให้ท้องขึ้นท้องพอง ให้ลั่นในท้องดังจ๊อกๆ ให้เจ็บในอก ให้ สวิงสวาย ให้เจ็บแดกขึ้นแดกลง
๒.๔ โฎฐาสยาวาตาพิการ ( พัดในลำไส้,ในกระเพาะอาหาร) เมื่อพิการหรือแตก อาการให้เหม็นข้าว อาเจียน จุกอก ให้เสียดและแน่นหน้าอก
๒.๕ อังคมังคานุสารีวาตาพิการ ( ลมพัดทั่วร่างกาย) เมื่อพิการหรือแตก อาการให้หูตึง เจรจาไม่ได้ยิน ให้เป็นหิ่งห้อยออกจากลูกตา ให้เมื่อย มือ และเท้าดังกระดูกจะแตก ให้ปวดในกระดูกสันหลังดังเป็นฝี ให้สะบัดร้อน สะท้านหนาว ให้คลื่นเหียนอาเจียนลมเปล่า
๒.๖ อัสสาสะปัสสาสะวาตาพิการ ( ลมหายใจเข้าออก) จะแตกหรือพิการไม่ได้ ลมอันนี้คือลมอันพัดให้หายใจเข้าออก ถ้าสิ้นลมหายใจเข้า และออก หรือลมหายใจเข้าออกขาดแล้วเมื่อใด ก็ตายเมื่อนั้น เมื่อจะตาย ให้หายใจสั้นเข้าๆ จนไม่ออกไม่เข้า
ยาแก้วาโยธาตุพิการ
ชื่อยา ฤทธิจร ( ว่านน้ำ ดี / แฝกหอม เปราะ / แห้วหมู ไทย )
ว่านน้ำ ดีปลี / แฝกหอม เปราะหอม / หัวแห้วหมู พริกไทย /
ยาทั้งนี้เอาส่วนเท่ากัน รากกระเทียมเท่ายาทั้งหลาย บดเป็นผงละลายน้ำร้อนหรือน้ำผึ้งก็ได้

๓. อาโปธาตุ ๑๒ พิการ

๓.๑ ปิตตังพิการ(น้ำดี) ถ้าพิการหรือแตก มีอาการให้หาสติมิได้ คลุ้มคลั่งเป็นบ้า
๓.๒ เสมหังพิการ(น้ำเสลด) ถ้าพิการหรือแตก ให้สะบัดร้อนสะท้านหนาว ให้จับไข้เป็นเวลา บางทีให้ลงเป็นโลหิตเสมหะ เน่า ให้ปวดมวน
๓.๓ ปุพโพพิการ(น้ำหนอง) ถ้าพิการหรือแตก อาการให้ไอเป็นกำลัง ให้กายซูบผอมหนัก ให้กินอาหารไม่รู้รส มักให้เป็น ฝีในท้อง
๓.๔ โลหิตังพิการ( น้ำเลือด) ถ้าพิการหรือแตกมีอาการดังนี้ คือ ให้นัยน์ตาแดงดังสายโลหิต ให้งงและหนักหน้าผาก เพราะ โลหิตบางทีให้ผุดภายนอกเป็นวงแดง เขียวหรือเหลือง กระทำพิษต่างๆ ให้ลิ้นกระด้างคางแข็ง แพทย์สมมุติว่าเป็นไข้รากสาด หรือปานดำปานแดง ๆลๆ สมมุติเรียกชื่อต่างๆ เพราะโลหิตแตก กระจายซ่านออกตาผิวหนัง บางทีให้อาเจียน เป็นโลหิต หรือลงเป็นโลหิต บางทีให้โลหิตแล่น เข้าจับหัวใจ ทำให้คลุ่มคลั่งทุรนทุราย ให้ละเมอเพ้อพก หาสติมิได้ แพทย์สมมุติว่าสันนิบาต โลหิตก็ว่า บางทีให้ร้อนให้หนาว บางทีให้ชักเท้ากำมือ ให้ขัดหนักขัดเบา บางทีให้เบาออกมา เป็นสีต่างๆ โลหิตนี้ร้ายนัก แพทย์สมมุตุว่าเป็นไข้กำเดาโลหิต
๓.๕ เสโทพิการ(น้ำเหงื่อ) มีอาการให้เหงื่อแตกและตกหนักให้ตัวเย็น และให้ตัวขาวซีด สากชา ไปทั้งตัว สวิงสวายหากำลัง มิได้
๓.๖ อัสสุพิการ(น้าตา) มีอาการให้น้ำตาตกหนัก แล้วก็แห้งไป ให้ลูกตาเป็นดังเยื้อผลลำใย
๓.๗ เมโทพิการ(มันข้น) มีอาการให้ผิวหนังผุดเป็นวง บางทีแตกเป็นน้ำเหลือง ให้ปวดแสบ ปวดร้อนเป็นกำลัง
๓.๘ วสาพิการ(มันเหลว) มีอาการ ถ้าแตกกระจายออกทั่วตัว ให้ตัวเหลือง ตาเหลือง บางทีให้ลงและอาเจียนดังป่วงลม
๓.๙ เขโฬพิการ(น้ำลาย) มีอาการให้ปากเปื่อย คอเปื่อย น้ำลายเหนียว บางทีเป็นเม็ดยอดขึ้นในคอ ในลิ้น ทำพิษต่างๆ
๓.๑๐ สิงฆานิการ พิการ(น้ำมูก)มีอาการให้ปวดในสมอง ให้น้ำมูกไหล ตามัว ให้ปวดศีรษะ วิงเวียนศีรษะ
๓.๑๑ ลสิกาพิการ(ไขข้อ) มีอาการกระทำให้เมื่อยในข้อในกระดูก ดุจดังจะคลาดจากกัน ให้ขัดตึงทุกข้อ แก้ยาก เพราะอยู่ ในกระดูก
๓.๑๒ มุตตังพิการ(น้ำปัสสาวะ) มีอาการให้ปัสสาวะวิปลาส ให้น้ำปัสสาวะสีแดง สีเหืองดังขมิ้น บางทีขาวดังน้ำขาวเช็ด ให้ขัด เบา ขัดหัวเหน่า หัวเหน่าฟก บางทีเป็นมุตกิต มุตฆาต กาฬขึ้นในมูตร ให้มูตรแปรไปต่างๆ
ยาแก้อาโปธาตุพิการ ( ลังกา สอ สมุลแว้ง/ ขิง ค้าน ดี/ ลุกผักชี ตูมอ่อน ลังกาสา/แห้วหมู โมกมัน / เพลิง คัด ขัดมอน/พิ ภี บัว บุน/ )
กกลังกา โกฐสอ สมุลแว้ง / ขิงแห้ง สะค้าน ดีปลี / ลูกผักชี ลูกมะตูมอ่อน ลูกพิลังกาสา / หัวแห้วหมู
เปลือกโมกมัน / ราก เจตมูลเพลิง รากคัดเค้า รากขัดมอน / ดอกพิกุล ดอกสารภี เกสรบัวหลวง ดอกบุนนาค
เอาส่วนเท่ากัน ต้ม ๓ เอา ๑

๔. ปถวีธาตุ ๒๐ พิการ

๔.๑ เกศาพิการ(ผม) ให้เจ็บสมองศีรษะ ให้ชา ให้ผมร่วงหล่น
๔.๒ โลมาพิการ (ขน) ให้เจ็บทุกเส้นขนทั่วสรรพางค์กาย
๔.๓ นขาพิการ(เล็บ) ให้ต้นเล็บเจ็บช้ำดำเขียว บางทีให้ฟกบวม คือเป็นตะมอยหัวดาวหัวเดือน กลางเดือน บางทีให้เจ็บช้ำ เลือดช้ำหนอง ให้เจ็บปวดเป็นกำลัง
๔.๔ ทันตพิการ(ฟัน) ให้เจ็บปวดฟกบวมเป็นกำลัง ถึงฟันหลุดแล้วก็ดี มักเป็นไปตามประเพณีสังสารวัฎ ให้เจ็บฟันและ ไรฟัน ไรเหงือก ตลอดสมอง ถ้าฟันยิงมิหลุดมิถอน ก็ให้แก้ตามขบวนการรำมะนาดนั้นเถิด
๔.๕ ตะโจพิการ(หนัง) ให้หนังสากชาทั้งตัว แม้แมลงวันจะจับหนือไต่ที่ตัว ก็ไม่รู้สึกให้แสบร้อน เป็นกำลัง เรียกว่า กระมี โทษ
๔.๖ มังสังพิการ(เนื้อ) เนื้อประมาณ ๕๐๐ ชิ้น พิการให้เสียวซ่านไปทั่วทั้งตัว มีกให้ฟกให้บวม ไม่เป็นที่ให้เป็นพิษ บางทีให้ ร้อนดังไฟลวก บางทีให้ฟกขึ้นดังประกายดาษ ประกายเพลิง
๔.๗ นหารูพิการ(เส้นเอ็น)เส้นประธาน ๑๐ เส้น เส้นบริวาร ๒,๗๐๐ เส้นพิการ ให้หวาดหวั่นไหวไปทั่วทั้งกาย ที่กล้าก็กล้า ที่ แข็งก็แข็ง ที่ตั้งดานก็ตั้งดาน ที่ขอดก็ขอด เป็นก้อนเป็นเถาไป ที่จะให้โทษหนักนั่นคือ เส้นสุมนาและ เส้นอัม พฤกษ์ เส้นสุมนา ผูกดวงใจสวิงสวายทุรนทุราย หิวหาแรงมิได้ เส้นอัมพฤกษ์ให้ กระสับกระส่าย ให้ร้อนให้เย็น ให้เมื่อยให้เสียวไปทุกเส้นเอ็นทั่วตัว ตั้งแต่ศีรษะตลอดถึงเท้า บางที ให้เจ็บเป็นเวลา
๔.๘ อัฎฐิพิการ(กระดูก) กระดูก ๓๐๐ ท่อน พิการก็ดี แตกก็ดี น้ำมันซึ่งจุกอยุ่ในข้อนั้น ละลายออกแล้ว ให้เจ็บปวดกระดูก ดุจ ดังจะเคลื่อนคลาดออกจากกัน
๔.๙ อัฎฐิมิฌชังพิการ(เยื่อในกระดูก) ให้ปวดตามแท่งกระดูก
๔.๑๐ วักกังพิการ(ม้าม) ให้ม้ามหย่อน มักเป็นป้าง
๔.๑๑ หทยังพิการ(หัวใจ) มักให้เป็นบ้า ถ้ายังอ่อนอยู่ให้ดุ้มดีคุ้มร้าย มักขึ้งโกรธ บางทีให้ระส่ำระสาย ให้หิวโหยหาแรงมิได้
๔.๑๒ ยกนังพิการ(ตับ) เมื่อพิการ เป็นโทษ ๔ ปราการ ล่วงเข้าลักษณะอติสาร คือ กาฬผุดขึ้นในตับ ให้ตับหย่อน ตับทรุด บางทีเป็นฝีในตับ ให้ลงเป็นเลือดสดๆ ออกมา อันนี้คืออาฬมูตรผุดขึ้น ดันลิ้นกินอยู่ในตับ ให้ลงเป็น เสมหะ โลหิตเน่า ปวดมวนเป็นกำลัง ให้ลงวันละ ๒๐ หรือ ๓๐ หน ให้ตาแข็งและแดงเป็นสายเลือด
๔.๑๓ กิโลมกังพิการ(พังผืด) มักให้อกแห้ง กระหายน้ำ อันนี้คือโรคริดสีดวงแห้งนั้นเอง
๔.๑๔ ปิหกังพิการ(ไต) ให้ขัดอก ท้องขึ้นท้องพอง ให้แน่นในอกในท้อง กินอาหารไม่ได้
๔.๑๕ ปัปผาสังพิการ(ปอด) อาการเป็นดุจดังไข้พิษ กาฬขึ้นในปอด ให้ร้อนในอก กระหายน้ำหอบดุจดังสุนัขหอบแดด จน โครงลด ให้กินน้ำจนปอดลอยจึงหายอยาก บางทีกินจนอาเจียนน้ำออกมา จึงหายอยาก
๔.๑๖ อันตังพิการ(ลำไส้ใหญ่) ให้วิงเวียนหน้าตา จะลุกขึ้นให้หาวเรอ ให้ขัดอก และเสียดสีข้างให้เจ็บหลังเจ็บเอว ให้ไอ เสมหะ ขึ้นคอ ให้ร้อนคอร้อนท้องน้อย มักให้เป็นลมเรอโอ๊ก ให้ตกเลือดตกหนอง
๔.๑๗ อันตคุนัง(ลำไส้น้อย) ให้กินอาหารผิดสำแดง ให้ปวดท้อง ให้ขัดอก บางทีให้ลงให้อาเจียน อันนี้คือลมกัมมัชวาตพัดเอา แผ่นเสมหะให้เป็นดาน กลับเข้าในท้องในทรวงอก ก็ตัดอาหาร ท่านว่าไส้ตีบไป
๔.๑๘ อุทริยังพิการ(อาหารใหม่)อาการกินข้าวอิ่มเมื่อใด มักให้ร้อนท้องนัก บางทีลงดุจกินยารุ บางทีให้สะอึก ขัดหัวอก ให้จุก เสียดตามชายโครง ผะอืดผะอม สมมุติว่าไฟธาตุนั้นหย่อน โรคทั้งนี้ย่อมให้โทษ เพราะอาหารไม่
ควรกิน นั้นอย่างหนึ่ง กินอาหาร ดิบอย่างหนึ่ง ลมในท้องพัดไม่ตลอด มักให้แปรไปต่างๆ บางทีลง ท้อง บางทีผุกเป็นพรรดึก ให้แดกขึ้นแดกลง กินอาหารไม่ได้
๔.๑๙ กริสังพิการ(อาหารเก่า) คือซางโขมยกินลำไส้ ถ้าพ้นกำหนดซางแล้ว ถือว่าเป็นริดสีดวง
๔.๒๐ มัตเกมัตถลุงกังพิการ(มันสมอง) ให้เจ็บกระบาลศีรษะดังจะแตก ให้ตามัว หูตึง ปากและจมูกชึกขึ้นเป็นเฟ็ดไป ลิ้นกระด้าง คางแข็ง ลักษณะดังนี้ เดิมเมื่อจะเป็น เป็นเพราะโทษแห่งลมปะกัง ให้ปวดหัวเป็นกำลัง ถ้าแก้มิฟังตาย
ยาแก้ปถวีธาตุพิการ ( สมอง กระดูก ม้าม)
เบญจกูล ตรีกฎุก/ เทียม เดา ทีสอ/ ลูก-ดอกจันทน์ จันทน์ทั้ง๒/ วาน พลู แว้ง/ สมอทั้ง๓ ตีนเป็ด กันเกรา/
เบญจกูล๑ ตรีกฎุก๑ / กระเทียม ๑ ใบสะเดา๑ ใบคนทีสอ๑ / ลูกจันทน์๑ ดอกจันทน์๑ จันทน์ทั้ง๒(๑) / กระวาน๑ กานพลู๑ สมุลแว้ง๓ / สมอทั้งสาม ๑ เปลือกตีนเป็ด๑ เปลือกกันเกรา(๒) /

ยาแก้หัวใจพิการ ชื่อยา มูลจิตใหญ่ ( ทีสอ หัศคุณ ลิงปลิง/ จันทน์๒ ดี / ข้าวเปลือก ตั๊กแตน ทาโร/)
ผลคนทีสอ ใบสหัศคุณ ผลตะลิงปลิง / จันทน์ทั้งสอง ดีปลี / เทียนข้าวเปลือก เทียนตาตั๊กแตน เทพทาโร /
เอาส่วนเท่ากัน บดปั้นแท่ง ละลายน้ำดอกไม้ แทรกพิมเสน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น